วิกฤตค่าเงินกีบที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ได้เกิดจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งสื่อนอกที่อาจจะถือเป็นปัจจัยหนึ่งได้แก่ การตกอยู่ในการควบคุมของจีน ซึ่งจีนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมค่าเงินกีบผ่านการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน โดยที่ค่าเงินกีบจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยธนาคารประจำชาติ (People’s Bank of China) ที่เป็นธนาคารกลางของประเทศจีน
การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนนี้สามารถทำให้ค่าเงินกีบดับตลาดได้โดยตรง ซึ่งผลกระทบทางเศรษฐกิจจะส่งผลต่อการควบคุมการนำเข้าและส่งออกสินค้า รวมถึงการควบคุมการเงินและการลงทุนในประเทศ การเปลี่ยนแปลงที่ขึ้นและลงของค่าเงินกีบอาจส่งผลกระทบต่อตลาดทั่วโลกด้วย
นอกจากนี้ การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมการตลาดหุ้นและตลาดทองคำในประเทศ โดยที่การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินกีบอาจส่งผลต่อการลงทุนในสินทรัพย์ที่ต่างประเทศ
ในเรื่องของวิกฤตค่าเงินกีบที่เกิดขึ้น เราต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อค่าเงินกีบไม่เพียงแค่การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนของจีนเท่านั้น นอกจากการควบคุมเช่นนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อวิกฤตค่าเงินกีบด้วย เช่น:
1. **สภาวะเศรษฐกิจโลก**: สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนหรือมีปัญหาส่งผลต่อค่าเงินกีบ การแพร่ระบาดของวิกฤตการเงินในประเทศอื่นๆ สามารถทำให้นักลงทุนเสียความเชื่อมั่นและหันมาลงทุนในสกุลเงินที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น สกุลเงินเซี่ยงไฮ้หรือเยนญี่ปุ่น ซึ่งทำให้ค่าเงินกีบลดลงได้
2. **นโยบายการเงินของธนาคารกลาง**: นโยบายที่ผลักดันให้ดอลลาร์สหรัฐฯแข็งขึ้นอาจทำให้ค่าเงินกีบลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดทุนในประเทศ
3. **การควบคุมภายใน**: การเฝ้าระวังสภาพการเงินภายในประเทศจีน เช่น การปรับนโยบายเงินเฟ้อและการบริหารจัดการความเสี่ยงในการลงทุนต่างๆ ซึ่งอาจมีผลต่อค่าเงินกีบ
4. **การคาดการณ์ทางการเมือง**: ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศจีนหรือในส่วนอื่นของโลกที่ส่งผลต่อความมั่นคงของตลาดและสกุลเงิน
การวิเคราะห์วิกฤตค่าเงินกีบต้องพิจารณาปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน, สภาวะเศรษฐกิจโลก, นโยบายการเงินของธนาคารกลาง หรือปัจจัยการเมือง ซึ่งทั้งหมดมีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินกีบและส่งผลต่อตลาดทั่วโลกได้