ไทยเสี่ยงอีกครั้งหรือไม่ และกฎของสหประชาชาติสามารถใช้อะไรได้บ้างเมื่อกัมพูชายื่นเสนอการสร้างเขื่อนในอ่าวไทย!

วันนี้เราจะสรุปเรื่องที่เป็นประเด็นที่ทำให้ประเทศไทยเสี่ยงการสูญเสียดินแดนทางทะเลหลังจากที่ประเทศกัมพูชาได้ดำเนินการสร้างเขื่อนกันคลื่น ซึ่งปัญหานี้ได้มีการเปิดเผยออกมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายน โดยสำนักข่าวของประเทศไทยได้รายงานว่า คุณธีรชัยแนะนำให้รัฐบาลไทยยื่นประท้วงรัฐบาลกัมพูชาให้ทำลายสันเขื่อนที่กำลังก่อสร้างอยู่

การสร้างเขื่อนนี้เป็นปัญหาที่สร้างความกังวลให้กับประเทศไทยเนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิภาพของดินแดนทางทะเลของประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของการควบคุมน้ำในช่วงฤดูแล้งและฤดูฝน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ และอนุสัญญาเพื่อสงคราม ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรระมัดระวังและต้องมีการแก้ไขหาทางออกให้เหมาะสมที่สุดเพื่อปกป้องสิทธิของประเทศไทยไว้ในทุกกรณี การแก้ไขปัญหานี้อาจจำเป็นต้องใช้วิธีการทางการทูตและการเจรจาประหารความขัดแย้งระหว่างประเทศ และมุ่งเน้นให้มีความร่วมมือกับประเทศเพื่อหาทางออกที่เป็นสิริมงคลแก่ทั้งสองฝ่ายในประเด็นนี้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องที่ยังไม่สิ้นสุดและจะต้องรอดูความเป็นไปต่อไปในอนาคตอีกมากในขณะนี้

การสร้างสันเขื่อนที่ถูกต้องไปลงไปในทะเลใกล้กับหลักเขตที่ 73 ที่ติดกับด่านคลองใหญ่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา เมื่อไทยแถลงว่าจะไม่ยอมรับเส้นแบ่งครึ่งหากกัมพูชาใช้สันเขื่อนดังกล่าว โดยที่ไทยได้อ้างอิงกติกาเขตทะเลของสหประชาชาติในอดีต

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประธานกรรมการด้านวิชาการของพรรคพลังประชารัฐได้โพสต์ข้อความใน Facebook เกี่ยวกับปัญหาพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา โดยกล่าวถึงว่าเป็นเรื่องที่เตือนให้รัฐบาลไม่ให้ประเทศไทยต้องเสียสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนที่มีความสำคัญในการกำหนดเขตแดนทะเลของทั้งสองประเทศ การเกิดข้อขัดแย้งนี้ทำให้เกิดความไม่สงบในพื้นที่และเป็นเรื่องที่ต้องระวังในการดำเนินการเพื่อปกป้องสิทธิของประเทศไทยในขณะนี้และในอนาคต

การสร้างเขื่อนที่ไหลลงไปในทะเลเป็นเรื่องที่น่าเสียดายโดยเฉพาะเมื่อสื่อมวลชนและประชาชนชาวไทยให้ความสนใจน้อยมากๆ ปกติแล้วการสร้างเขื่อนเพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นน้ำมากระทบที่ชายฝั่งจะต้องมีแนวสันเขื่อนที่วางขนานกับชายฝั่ง แต่การวางสันเขื่อนแบบนี้จะวางจากแนวชายฝั่งไปยังทะเลอ่าวไทย ซึ่งจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการป้องกันชายฝั่ง

นอกจากนี้ยังมีแผนที่ที่แสดงตำแหน่งของหลักเขตที่ 73 ซึ่งจะเห็นได้ง่ายจาก Google Map ว่าแนวสันเขื่อนยื่นตั้งฉากออกไปจากชายฝั่ง ซึ่งถ้ามองคร่าวๆ จะเห็นได้ว่ามีความไม่เหมาะสมและอาจไม่ได้ผลต่อการป้องกันชายฝั่งอย่างเพียงพอ การสร้างสิ่งกีดขวางนี้อาจเป็นอุปสรรคแก่การจัดการทรัพยากรทางทะเลของประเทศไทยในอนาคต

ท่านอาจสนใจที่จะดูเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่: [URL]

ถ้าท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือคำอธิบายเพิ่มเติมใดๆ กรุณาแจ้งให้ฉันทราบค่ะ!

การตั้งเขื่อนใกล้ด่านพรมแดนคลองใหญ่ของประเทศไทยทำให้มีความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะเสียดินแดนทางทะเลให้กัมพูชาได้ เป็นเรื่องที่เรียกร้องความสนใจจากหน่วยงานต่างๆ โดยล่าสุด โฆษกของกองทัพเรือได้ออกมาเปิดเผยว่ากัมพูชาได้เริ่มต้นก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นตั้งแต่ช่วงปีพุทธศักราช 2540 – 2541 โดยหน่วยงานของกองทัพเรือในพื้นที่ได้ตรวจพบและรายงานเหตุการณ์นี้แก่ทางการบัญชาการทางทหารสังกัดต่อไป

หน่วยเทคนิคของกรมอุทกศาสตร์กองทัพเรือได้ตรวจสอบและรายงานว่ามีการสร้างเขื่อนกันคลื่นจริง จึงแจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เป็นการแสดงความเป็นธรรม และทำตามหน้าที่ของหน่วยงานทางทหาร ทางกระทรวงการต่างประเทศก็ได้รับการบันทึกช่วยจำและหนังสือประท้วงจากฝ่ายกัมพูชา โดยขอให้รื่นเถิดถอนเขื่อนกันคลื่นดังกล่าวออก หนังสือเหล่านี้ได้ถูกส่งออกอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 3 ครั้ง ตามการประท้วงชอบใจของฝ่ายกัมพูชา

ในวันที่ 10 มิถุนายน พุทธศักราช 2541 และวันที่ 30 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2541 และล่าสุดในวันที่ 16 สิงหาคม พุทธศักราช 2564 (นับตั้งแต่ปี 2541) ท่าอากาศยานของกระทรวงการต่างประเทศได้ส่งหนังสือทักท้วงกรณีไปทางกัมพูชา โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับหยุดการก่อสร้าง เพิ่มเติมโดยทางด้านโฆษกของกองทัพเรือยืนยันว่ากองทัพเรือยังคงดำรงภารกิจในการรักษาสิทธิอำนาจอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศไทยอย่างไม่มีการก่อสร้างเพิ่มเติมในพื้นที่ดังกล่าว

ชาติได้มีการจัดเรือและอากาศยานลาดตระเวนเพื่อเฝ้าตรวจและแสดงกำลังเหนือพื้นที่ทางทะเล โดยมีความชัดเจนในการอ้างสิทธิ์และมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของชาติและความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ มีหลายคนที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ มากกว่า 2,000 คอมเมนต์แล้ว โดยบางคนเสนอว่าควรมีการเป็นเจ้าภาพที่ชัดเจนเพื่อปกป้องสิทธิ์และผลประโยชน์ของชาติ การเตือนเตือนได้ถูกส่งตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2541 แต่ไม่มีการดำเนินการอะไรเพิ่มเติมจากนั้น.

การออกหนังสือเตือนและหยุดการก่อสร้างเขื่อนอาจจะไม่เพียงพอเพราะจริงๆแล้วปัญหานี้ไม่ได้จบที่นั้นเท่านั้น การหยุดโครงการต้องไปพร้อมกับการรื้อถอดเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของชาติให้ครบถ้วน บางคอมเมนต์ยังนำเสนอถึงความคิดถึงสมัยก่อนและความสงบสุขของประเทศไทยในอดีต แต่ต่อมามีการเสียดสีกับสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศ บางคนก็กล่าวถึงความเงียบเหงาจากรัฐบาลหลังจากยื่นเรื่องและสิ้นสุดท้าย ที่ส่วนที่เดือดร้อนและออกมาปกป้องทรัพยากรในประเทศนั้นคือประชาชน ซึ่งมีความเห็นที่ว่าเราควรเรียนรู้และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป.

เรื่องเขาพระวิหารซึ่งสุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนต้องออกมาปกป้องทุกอย่างแบบนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงชุดรัฐบาล แต่จริงๆแล้วยังมีประเด็นหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นความเสี่ยงต่อประเทศไทยว่าจะเสียดินแดนทางทะเลให้กับกัมพูชา ปัญหานี้มีต้นตอมาจากกติกาเขตทางทะเลของสหประชาชาติที่กำหนดไว้ในปี ค.ศ. 1982 โดยระบุว่าสิ่งก่อสร้างถาวรต้องตั้งอยู่นอกสุดของเขตท่า ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่แยกออกมาไม่ได้.

ระบบการท่านั้นถือว่าเป็นส่วนของฝั่งทะเลครับ อย่างง่ายๆก็คือ เมื่อมีการสร้างสันเขินขึ้นมา กัมพูชาก็สามารถอ้างเขตทะเลได้กว้างขึ้น เนื่องจากประเทศไทยได้ประกาศกำหนดเส้นแบ่งเขตที่ยึดตามหลักกติกาเขตทะเลของสหประชาชาติปี ค.ศ. 1958 ซึ่งกำหนดให้ใช้เส้นแบ่งครึ่งระหว่าง 2 ประเทศที่ลากออกมาจากตำแหน่งที่หลักทะเลครับ

จุดเส้นแบ่งเขตบนชายฝั่งไปยังทะเล แต่กัมพูชากล่าวว่าเส้นที่เขายึดเนี่ย เป็นตามหลักฐานประวัติศาสตร์ในเอกสารที่แนบอยู่ในสนธิสัญญาสยามกับฝรั่งเศสปี ค.ศ. 1907 ซึ่งลากผ่านเกาะกูด แต่เส้นนี้หากตรวจสอบจะเห็นว่าลากผิด เนื่องจากข้อความในเอกสารแนบที่ใช้ประกอบแผนที่สังเขตที่แนบมามีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดจุดแบ่งเขตแดนบนชายฝั่ง ไม่ใช่การกำหนดเส้นแบ่งเขตในทะเล และนอกจากนี้ในช่วงหลังปี ค.ศ. 1958 หลัก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *