เขมรรับไม่ได้ /เมื่อชาวโลก”ยกตัวอย่างวัฒนธรรมเขมรที่เคลม…..
กรณีที่ชาวโลก “ยกตัวอย่างวัฒนธรรมเขมรที่เคลมมาจากไทย” เป็นประเด็นที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากฝั่งไทยและเขมร (กัมพูชา) ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีมุมมองและทัศนคติที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในกรณีที่ประเทศอื่นๆ หรือบางกลุ่มเริ่มนำเสนอวัฒนธรรมบางประการที่มีต้นกำเนิดจากไทย แต่กลับถูกอ้างว่าเป็นของเขมร (กัมพูชา) หรือที่เขมรมองว่าเป็นของตัวเอง ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจหรือขัดแย้งในเรื่องนี้
ตัวอย่างของวัฒนธรรมที่บางครั้งมีการเคลมว่าเป็นของเขมรแต่มีรากฐานที่เชื่อมโยงกับไทย ได้แก่:
1. **นาฏศิลป์และการเต้นรำ**:
– การเต้นรำในสไตล์ “อังกอร์” หรือ “นาฏศิลป์เขมร” ที่มีความคล้ายคลึงกับนาฏศิลป์ไทยหลายอย่าง โดยเฉพาะการเต้นรำที่มีความละเอียดและใช้ท่าทางที่สวยงาม ซึ่งบางครั้งถูกกล่าวว่าเป็นสืบทอดมาจากสมัยอาณาจักรขอม แต่ก็มีการชี้ให้เห็นว่าไทยมีการพัฒนาและปรับปรุงลักษณะของการเต้นรำนี้มาก่อน
2. **สถาปัตยกรรม**:
– วัดอังกอร์ (Angkor Wat) ที่เป็นโบราณสถานสำคัญของกัมพูชา ก็ถูกยกมาเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมที่มีความคล้ายคลึงกับวัดในสมัยสุโขทัยของไทย โดยเฉพาะรูปแบบการก่อสร้างและความสวยงามที่มีเอกลักษณ์
3. **อาหาร**:
– อาหารบางชนิดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น “ต้มยำ” หรือ “ข้าวต้ม” บางครั้งก็ถูกกล่าวถึงว่าเป็นของเขมร ทั้งที่ในความเป็นจริงอาหารประเภทนี้มีความใกล้เคียงกันในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4. **เครื่องประดับและงานหัตถกรรม**:
– งานหัตถกรรมเช่น การทำผ้าไหม หรือเครื่องประดับแบบดั้งเดิมก็มีลักษณะที่คล้ายกันระหว่างไทยและเขมร จึงทำให้บางครั้งเกิดข้อถกเถียงว่าใครเป็นเจ้าของต้นตำรับ
### ปฏิกิริยาจากฝั่งเขมร
เมื่อมีการยกตัวอย่างวัฒนธรรมบางประการที่เชื่อมโยงกับไทยและถูกอ้างว่าเป็นของเขมร ฝั่งกัมพูชามักจะตอบสนองอย่างรุนแรง บางครั้งก็ถือว่าเป็นการไม่เคารพและปล่อยให้เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมที่ประเทศของตนเคยมีมา ความรู้สึกนี้ยังสามารถเห็นได้ในเชิงการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งสองประเทศต่างก็มีการอ้างสิทธิ์ในสิ่งที่เป็นมรดกของตนและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ร่วมกันของภูมิภาคนี้
### ความรู้สึกของฝ่ายไทย
ส่วนประเทศไทยมักจะมองว่ามรดกวัฒนธรรมบางอย่างที่คล้ายกันก็เกิดจากการแลกเปลี่ยนและการมีอิทธิพลซึ่งกันและกันในภูมิภาคนี้ โดยไม่ได้มีการแย่งชิงหรือถือเป็นของชาติใดชาติหนึ่ง แต่การที่วัฒนธรรมบางอย่างถูกอ้างว่าเป็นของเขมรก็ทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจและต้องการชี้ให้เห็นว่าไทยก็มีการพัฒนาและรักษามรดกเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
### สรุป
ทั้งไทยและเขมรต่างก็มีมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความคล้ายคลึงกันมากจากประวัติศาสตร์ที่เคยเชื่อมโยงกัน แต่การที่มีการอ้างว่าวัฒนธรรมเหล่านั้นเป็นของชาติหนึ่งชาติใด อาจทำให้เกิดความขัดแย้งและการเถียงกันในเชิงประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ได้ ดังนั้น ความเข้าใจและการยอมรับในความหลากหลายทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วมของทั้งสองประเทศจะช่วยลดความตึงเครียดได้ในที่สุด